วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554

บีตส์และคลื่นนิ่งของเสียง

 บีตส์ (Beats)              
              เสียงที่ได้ยินจากแหล่งกำเนิดเสียงแหล่งเดียว จะเป็นเสียงดังสม่ำเสมอต่อเนื่องกัน ส่วนเสียงที่ได้ยินจากแห่งกำเนิดเสียงสองแหล่งที่มีความถี่ต่างกันเล็กน้อย จะเป็นเสียงดังค่อยสลับกันเป็นจังหวะ ซึ่งเรียกว่า บีตส์ของเสียง บีตส์เกิดจากการซ้อนทับระหว่างคลื่นเสียงจากแหล่งกำเนิด 2 แหล่ง ที่มีความถี่ไม่เท่ากัน ถ้าความถี่ของเสียงจากแหล่งกำเนิดทั้งสองต่างกันเล็กน้อย เสียงบีตส์ที่ได้ยินจะเป็นจังหวะช้าๆ แต่ถ้าความถี่ของเสียงจากแหล่งกำเนิดทั้งสองต่างกันมาก เสียงบีตส์ที่ได้ยินจะเป็นจังหวะเร็วขึ้น โดยปกติหูเราจะสามารถจำแนกเสียงบีตส์ที่ได้ยินเป็นจังหวะที่มีความถี่ไม่เกิน 7 เฮิรตซ์

                
               คลื่นเสียงจากแหล่งกำเนิด 2 แหล่ง ที่มีความถี่ ƒ1 และ ƒ2 เมื่อมาซ้อนทับกันจะทำให้เกิดบีตส์ที่มีเสียงดังและค่อยสลับกันเป็นจังหวะคงตัว ความถี่บีตส์จะเท่ากับจำนวนครั้งของเสียงดังที่ได้ยินในหนึ่งวินาที  ซึ่งจะหาได้จากผลต่างของความถี่ของคลื่นเสียงทั้งสอง เรียกว่า ความถี่บีตส์ ( beats frequency ) ซึ่งจะหาได้จากผลต่างของความถี่คลื่นเสียงทั้งสอง

                    
                                                    ความถี่บีตส์           =             ƒ  =   ƒ1 - ƒ2
                                         

               บีตส์ไม่จำเป็นต้องเกิดจากแหล่งกำเนิดเสียงประเภทเดียวกันเท่านั้น แต่อาจเกิดจากแหล่งกำเนิดเสียงคนละประเภทก็ได้ ในชีวิตประจำวันที่อาจพบเห็นได้แก่ การปรับเสียงของเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ เช่น ไวโอลิน โดยเทียบกับเสียงจากหลอดเทียบเสียงที่มีความถี่มาตรฐาน และทำให้เสียงจากไวโอลินดังพร้อมๆ กับเสียงจากหลอดเทียบเสียงมาตรฐาน ขณะที่ความถี่ของเสียงไวโอลินยังไม่เท่ากับความถี่ของเสียงจากหลอดเทียบเสียงมาตรฐาน เราจะได้ยินเสียงบีตส์จนกระทั่งเมื่อปรับความตึงของสายไวโอลินได้พอเหมาะ คือให้การสั่นขอสายไวโอลินมีความถี่เท่ากับความถี่ของหลอดเทียบเสียงมาตรฐาน เสียงบีตส์ที่ได้ยินก็จะหายไป


                                                        คลิ๊กลิงค์เพื่อเข้าชมตัวอย่าง

คลื่นนิ่ง (Standing wave)
             จากการศึกษาคลื่นนิ่งของคลื่นน้ำและคลื่นนิ่งในเส้นเชือก ทำให้ทราบว่าคลื่นนิ่งเป็นปรากฏการณ์แทรกสอดที่เกิดจากการซ้อนทับระหว่างคลื่นสองคลื่นที่เคลื่อนที่สวนทางกัน โดยที่ทั้งสองมีความถี่ ความยาวคลื่น(wavelenght)และแอมพลิจูด(amplitude)เท่ากัน

              สำหรับกรณีคลื่นเสียงก็จะเกิดปรากฏการณ์แทรกสอดที่มีลักษณะเป็นคลื่นนิ่งได้ ซึ่งเราได้ยินเสียงดังและค่อยสลับกัน โดยตำแหน่งที่ได้ยินเสียงดัง แสงดว่า มีการแทรกสอดแบบเสริม(Constructive interference)และตำแหน่งนั้นจะเป็น ปฏิบัพ(Anitnode)ของความดัน ส่วนตำแหน่งที่ได้ยินเสียงค่อย แสดงว่า มีการแทรกสอบแบบหักล้าง(Destructive interference)และตำแหน่งนั้นจะเป็น บัพ (Node) ของความดัน


              ในขณะเกิดคลื่นนิ่งของเสียง ปฎิบัพเป็นตำแหน่งที่ความดันอากาศมีการเปลี่ยนแปลงของแอมปลิจูดสูงสุด เรียกตำแหน่งนี้ว่าปฎิบัพของความดัน(pressure anti-node)  บัพเป็นตำแหน่งที่ความดันอากาศมีการเปลี่ยนแปลงของแอมปลิจูดเป็นศูนย์ เรียกตำแหน่งนี้ว่าบัพของความดัน(pressure node)


สมมติลำโพง A และ B เปล่งเสียงซึ่งมี ความถี่ ความยาวคลื่น แอมพลิจูด และเฟสตรงกันออกมาวิ่งสวนกัน
@ ตำแหน่งที่ 1,3,5,7,9,11,13 เรียกว่า ปฏิบัพของความดันหรือบัพของการกระจัด
@ ตำแหน่ง 2,4,6,8,10,12 เรียกว่า บัพของความดันหรือปฏิบัพของการกระจัด
@ ถ้าเราฟังเสียงตรงตำแหน่งที่เป็นปฏิบัพของความดันเสียงจะดังมาก แต่ถ้าเราฟังเสียงตรงตำแหน่งที่เป็นบัพของความดันเสียงจะค่อยมาก


ตัวอย่าง
                มะลิและพุดจีบมีส้อมเสียงคนละ 1 อัน ซึ่งมีความถี่ 370 เฮริตซ์ และ 365 เฮริตซ์ ตามลำดับ เมื่อทั้งสองคนเคาะส้อมเสียงพร้อมๆกัน จะเกิดความถี่บีตส์เป็นกี่ครั้ง/วินาที
                วิธีทำ 
                                       จาก         ความถี่บีตส์   =  ƒ= ƒ1 - ƒ2


       ความถี่บีตส์   =  370 365

ตอบ     ความถี่บีตส์  เท่ากับ  5  ครั้ง/วินาที


แหล่งที่มา : https://www.myfirstbrain.com/student_view.aspx?ID=75597

2 ความคิดเห็น:

  1. ทำไมมี 2 เรื่อง ปนกันอยู่คะ 2 เรื่องนี้เกี่ยวข้องกันหรือไม่ อย่างไร

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. เกี่ยวครับ เพราะ เป็น เรื่อง บีตส์ ทั้งสอง เป็นเสียงที่เกิดจาก แหล่งกำเนิด 2 ที่ครับ

      ลบ